รศ.ดร. กุณฑลทิพย พานิชภักดิ์ : ภาควิชาการเคหะการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ TREA TALKS Real Estate 2017 - Future Thailand: ประเทศไทย 4.0 ก้าวไปข้างหน้าอย่างไร ไม่ต้องทิ้ง ใครไว้ข้างหลัง”
-
จำกัดจำนวน 800 ท่าน
โดย รศ.ดร. กุณฑลทิพย พานิชภักดิ์: ภาควิชาการเคหะการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร. กุณฑลทิพย พานิชภักดิ์ ได้เปิดเผยถึงเป้าหมายในชีวิตคือปรารถนาอยากมีบ้าน โดยให้ความหมายของการมีบ้านที่เป็นได้ทั้ง House ตัวบ้าน และ Home คือความรัก เนื่องจากบ้านเป็นจุดเริ่มต้นของทุกครอบครัว เป็นรากฐานที่สำคัญของสังคม และเป็นปัจจัย 4 ที่ทุกคนขาดไม่ได้ ทุกคนต่างทำงานเก็บเงินเพื่อมีบ้าน เพราะบ้านเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตไม่ว่าจะมีฐานะจนหรือรวย เป็นการลงทุนที่สูงสุด
นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อบ้านหลายๆ หลังมาอยู่รวมกัน จะเกิดเป็น “ชุมชน” ขึ้น และเมื่อ “ชุมชน”หลายๆ ชุมชนรวมกัน จะเกิดเป็น “เมือง” ขึ้น ซึ่งอาจสรุปได้ว่า บ้านมีพื้นที่ ¾ ของเมืองนั่นเอง และจัดเป็นที่อยู่อาศัย ถ้าที่อยู่อาศัยไม่ดี เมืองก็ไม่น่าอยู่
พร้อมยังเสนอมุมมอง อีกแง่หนึ่งในด้านเศรษฐกิจอสังหาฯ จัดเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญของประเทศ ทำให้เกิด multiplier effects เมื่อมีการลงทุนบ้านหลังนี้ จะเกิดงานพ่วงตามมาอีกหลายๆ สิบงาน ไม่ว่าจะเป็นภาคแรงงาน ก่อสร้าง อุตสาหกรรม ผลิตหลอดไฟ สายไฟ ประปา จัดว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่งไปในตัว ที่สำคัญ ทำให้เกิด “การจ้างงาน”
ทั้งนี้ รศ.ดร. กุณฑลทิพยยังได้กล่าวต่อว่า เป้าหมายในชีวิตการทำงานเรื่องที่ 2 คือเรื่องผู้มีรายได้น้อย หลายชีวิตต้องอยู่เบื้องหลังของความยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะสำเร็จได้ ขึ้นอยู่กับผู้บริหารเพียงแค่ 10% เท่านั้น แต่ 90% ที่เหลือคือกลุ่มแรงงานนี่เอง
- พนักงานขาย
- พนักงานตรวจเช็คสินค้
- พนักงานต้อนรับ
- ช่างซ่อมบำรุง
- คนส่งสินค้า
- รปภ.
- ฯลฯ
ซึ่ง 80% ของคนเหล่านี้ก็คือผู้ที่มีรายได้น้อย เราย่อเรื่องเป็นศูนย์การค้าและขยายใหญ่ออกไปเป็นการเปรียบเทียบกับเมือง ร้อยละ 60 ของคนในเมืองคือผู้ที่มีรายได้น้อย เมืองจะขาดผู้ที่มีรายได้น้อยไม่ได้ เมืองจะต้องอาศัยบุคคลเหล่านี้ เพราะเป็นกำลังที่สำคัญในการขับเคลื่อน
นอกจากนี้ยังมีการแสดงความคิดเห็นถึงเรื่อง Demand-Supply ปัจจุบันนี้พบว่า Demand ร้อยละ 60% ของครัวเรือนในประเทศไทย รายได้น้อยกว่า 24,500 บาท/เดือน ค่าใช้จ่ายที่อยู่อาศัย 3,400 บาท/เดือน จะซื้อบ้านได้ในราคาไม่เกิน 450,000 บาท *(อัตราดอกเบี้ย 7% ระยะเวลาผ่อน 30 ปี)
Supply แต่ราคาที่อยู่อาศัยขั้นต่ำ ภาครัฐ 600,000 บาท ภาคเอกชน 1,000,000 บาทขึ้นไป
เกิดความไม่สมดุลในด้านราคาและปริมาณ เพราะผู้มีรายได้น้อยมีจำนวนมาก เมื่ออุปสงค์และอุปทานไม่สอดคล้องกันก็ทำให้เกิดปัญหาที่อยู่อาศัยของประเทศ การขาดแคลนที่อยู่อาศัย ชุมชนแออัด ชุมชนบุกรุก จากแนวราบไปสูงแนวสูง ทั่วประเทศไม่ใช่แค่กรุงเทพมหานคร ส่งผลกระทบไปทั่วประเทศทั้งยังชี้มุมมองให้เห็นทศวรรษที่จะมาถึง
- Globalization: อัตราความเป็นเมืองสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- คนนานาชาติจำนวนมากจะเข้ามาอยู่อาศัยร่วมกันในเมือง
- 60%จะเป็นผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในระบบตลาดแบบปัจจุบัน
- เมืองของเรา บ้านของเราจะเป็นอย่างไร
สำหรับทศวรรษใหม่และทศวรรษที่จะมาถึง เมืองจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็วไม่ใช่แค่คนไทยเพียงอย่างเดียว แต่จะมีคนนานาชาติที่เข้ามามากเช่นกัน 60% ของคนเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีรายได้น้อย แล้วเมืองของเราจะเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามท่ามกลางปัญหาก็มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เมื่อปีที่แล้วมีการกล่าวปฏิญญาของโลกไว้ร่วมกันว่า เมืองทุกเมืองต้องพัฒนาเมืองไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และพัฒนาในด้านต่างๆ เราเน้นการประสานงานกันทุกภาคส่วน โดยที่ภาคประชาชนได้ร่วมกันตั้งบรรษัทกันขึ้นมาเพื่อ
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- สร้างเมืองน่าอยู่
- พัฒนาเมืองโดยยึดโยงภาคประชาชน
- ปลอดการครอบงำของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง
และถ้าหากเราทำแบบต่างคนต่างทำบ้านเมืองก็จะไม่น่าอยู่ แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนและเมือง เพื่อสุขภาวะ แบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การพัฒนาจะยั่งยืนขึ้น
โดยนำความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมถึงภาควิชาการมาร่วมคิดเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายจากเป้าหมายของฉันไปเป็น เป้าหมายของเรา เปลี่ยนจากกำไรของฉันไปเป็นกำไรของเรา ที่อาจารย์มาพูดก็เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายของอาจารย์ไปสู่เป้าหมายของพวกเรา คือ เป้าหมายที่พวกเราจะต้องมีที่อยู่อาศัยที่พอเพียงสำหรับทุกคน และเป้าหมายที่การพัฒนาเมืองจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั้นเอง