คอนโดฯ ค้างสต๊อก 3 หมื่นยูนิต
27 กันยายน 2560
คอลลิเออร์สชี้ปลายไตรมาส 3 ดีเวลอปเปอร์โหม
เปิดตัวคอนโดมิเนียม บางรายใช้กลยุทธ์ลุยพร้อมกัน 3-4 โครง การ ขณะที่ในตลาดยังมีสินค้าเหลือขายไม่น้อยกว่า 3 หมื่นหน่วยทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล
ช่วงไตรมาสที่ 3 นี้มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิด
ขายใหม่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
เพราะผู้ประกอบการมองว่าเป็น
การทำการตลาดแบบเต็มรูป
แบบก่อนที่จะพักกิจกรรมทาง
การตลาดในเดือนตุลาคม จากนั้นจึงจะกลับมาทำกิจกรรม
ทางการตลาดอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคมซึ่งเป็นช่วงสิ้นปี แต่ที่น่าสนใจและสร้างความกังวลในระดับหนึ่งคือ การที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่กันมากมายและโครงการเก่าที่เปิดขายก่อนหน้านี้ก็ยัง
ขายไม่หมด หรือว่ามียูนิตเหลือขายอีกไม่น้อยในตลาดจะยิ่งทำให้ยูนิตเหลือขายในตลาดสะสมมากขึ้นไปอีกในปัจจุบัน
เพราะเท่าที่สำรวจดู ณ ตอนนี้ก็มีคอนโดมิเนียมเหลือขายในกรุงเทพมหานคร ไม่น้อยกว่า 30,300 ยูนิต หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ตํ่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท โดยคอนโดมิเนียมเหลือขายส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับราคาตํ่ากว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร เพราะเป็นระดับราคาที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจทำการตลาดก่อนหน้านี้ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีคอนโดมิเนียมระดับราคานี้เหลือขาย จริงๆ แล้วจำนวนคอนโดมิเนียมเหลือขายเท่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเรื่องที่น่ากังวลเท่าใดนัก เพราะสามารถปิดการขายทั้งหมดได้ภายใน
1 ปี ถ้าไม่มีโครงการอื่นๆเปิดขายใหม่
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอล ลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่าการมีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดเพราะว่าผู้ประกอบการยังคงต้องการรายได้หรือว่าผลประกอบการที่มากขึ้นทุกปีๆ ผู้ประกอบการหลายรายที่เปิดขายโครงการในช่วงที่ผ่านมาก็พยายามหาจุดขายตั้งแต่ทำเลที่ตั้ง รูปแบบโครงการ หรือจัดกิจกรรมทางการตลาดที่น่าสนใจทั้งในเรื่องของโปรโมชัน การเปิดจองออนไลน์ในราคาพิเศษก่อนเพียงไม่กี่ยูนิตเพื่อสร้าง
ความน่าสนใจและกระแสการรับรู้ในตัวโครงการให้มากขึ้น จากนั้นจึงเปิดขายพร้อมกันทั้งหมด 3-4 โครงการ ซึ่งเป็นหนึ่งใน กลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการบางรายนิยมใช้กันเพราะสามารถทำการตลาดพร้อมกันทีเดียวทั้ง 3-4 โครงการเลย “คอนโดมิเนียมที่เหลือขายอยู่ในตลาดขนาดนี้ก็สร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการหลายรายเช่นกัน การเลือกทำเลที่ตั้งโครงการและความรวดเร็วในการเปิดขายนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ”
ฉะนั้นจะต้องเลือกทำเลที่มีโครงการเหลือขายไม่มากในทำเลนั้นๆ และเป็นทำเลที่มีแนวโน้มขยายตัวในเรื่องของโครงการอื่นๆ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในอนาคต ผู้ประกอบการจึงเลือกทำเลที่อยู่ในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างซะเป็นส่วนใหญ่เพราะเป็นทำเลที่มีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องแน่นอนทั้งในเรื่องของโครงการภาครัฐ โครงการภาคเอกชนรูปแบบอื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต อีกทั้งราคาที่ดินที่จะสูงขึ้นในอนาคตทำให้โครงการคอนโดมิเนียมที่จะเปิดขายหลังจากนี้ต้องมีราคาขายสูงขึ้นแน่นอน แม้ว่าผู้ประกอบการบางราย จะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมในราคาที่สูงกว่าราคาเฉลี่ยในทำเลนั้นๆ แต่ก็ได้รับความสนใจเพราะแนวโน้มการขยายตัวของทำเล
นั้นๆ ที่เกิดขึ้นแน่นอน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,299
วันที่ 24 - 27 กันยายน พ.ศ. 2560