ค้นหาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

  • Projects
  • News
  • Property
  • How to

บิ๊กเอกชน 3 สถาบัน ผวาม็อบทุบซํ้าเศรษฐกิจ

21 กันยายน 2563

บิ๊ก 3 สถาบันเอกชนจับตาชุมนุมใกล้ชิด หวั่นซํ้าเติมเศรษฐกิจ ผลักทุนจีน ญี่ปุ่น เข้าเวียดนามเพิ่ม

จี้รัฐบาลสร้างความชัดเจนเรื่องต่าง ๆ ม.หอการค้าฯฟันธงม็อบลากยาวถึงสิ้นปี

การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาหลายสถาบันทั่วประเทศ ชู 3 นิ้วเรียกร้อง 3 ข้อหลัก “ยุบสภา-หยุดคุกคาม-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่”

สู่เยาวชนปลดแอกเรียกร้อง 3 ข้อ 2 จุดยืน 1 ความฝัน ล่าสุดการชุมนุมของแนวร่วมธรรมศาสตร์ที่มีขึ้นในวันที่ 19-20 กันยายน

เรียกร้องปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ ที่กำลังสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล ท่ามกลางความสุ่มเสี่ยงโควิด-19 ระบาดรอบสองที่อาจเป็นสองแรงบวกซ้ำเติมเศรษฐกิจ

และความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยให้ลดน้อยถอยลงไปอีกนั้น ผู้นำสถาบันหลักภาคเอกชนได้จับตามองด้วยความกังวล

 

กระทบศก.-เชื่อมั่น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาคเอกชนได้จับตามองสถานการณ์การชุมนุม

อย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นไปในทิศทางใด จะมีความรุนแรงสร้างความเสียหายด้านทรัพย์สิน หรือบุคลากรหรือไม่อย่างไร โดยหวังว่าเศรษฐกิจจะไม่เลวร้ายไปมากกว่า

ณ ปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อยู่แล้ว

“เดิมปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนของประเทศมากสุดตามลำดับคือ โควิด-19 สงครามการค้า ค่าเงินบาท และเสถียรภาพของรัฐบาล

ซึ่งปัจจัยเสี่ยงไม่เปลี่ยนไปมาก แต่เวลาที่มาแรงและน่าจับตามองคือ เสถียรภาพรัฐบาลหรือสถานการณ์ทางการเมืองจากการชุมนุม หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อ

 

ผลัก FDI เข้าเวียดนามเพิ่ม

นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมือง

และเสถียรภาพของรัฐบาลในสายตานักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติต่างจับตามอง(wait and see) ด้วยความเป็นห่วงว่าผลจากการชุมนุมจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

และรอดูว่ารัฐบาลจะสามารถทำความเข้าใจ และเข้าถึงมวลชนกลุ่มนี้ได้อย่างไร เพราะจะใช้ความรุนแรงก็คงไม่ถูก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในเวลานี้คือนักลงทุนเสียความมั่นใจ

ต่างชาติก็ไม่กล้าลงทุน คนในประเทศก็ไม่กล้าลงทุน จากในปัจจุบันธุรกิจก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้วจากผลกระทบโควิด สภาพคล่องก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นสถานการณ์เท่ากับซ้ำเติมประเทศ

สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการคือ สร้างความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง รวมถึงการปรับความเข้าใจและหาทางออกที่ดีที่สุด

 

 “หากเราไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง คนที่ได้รับอานิสงส์คือเวียดนาม ที่การเมืองเขานิ่ง และได้สร้างแรงจูงใจให้คนไปลงทุน ทั้งมีวัน-สต๊อปเซอร์วิส

และการอำนวยความสะดวกการลงทุนอย่างเต็มที่ มีแรงงาน และสิทธิประโยชน์มากมาย แต่ของไทยติดเรื่องการเมือง กฎหมายในหลายเรื่องในการอำนวยความสะดวก

ให้ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นยังล้าสมัยรอแก้ไข ทำให้เวลานี้ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย รวมถึงประเทศอื่น ๆ ได้เข้าไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น โดยในปีนี้คาดการส่งออกของไทย

จะติดลบที่ 10% แต่ส่งออกของเวียดนามน่าจะบวก 5-6% โดยเวียดนามคาดจะส่งออกปีนี้ได้มูลค่ากว่า 2.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนไทยจะเหลือประมาณ 2.2 แสนล้านดอลลาร์”

 

1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยง

นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวว่า ในแง่ผู้ส่งออก ปัจจัยเสี่ยง 5 อันดับแรกในเวลานี้ตามลำดับ

ประกอบด้วย 1.ผลกระทบจากโควิด 2.สภาพคล่องของผู้ประกอบการ 3.อัตราแลกเปลี่ยน/ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่ากระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน 4.สงครามการค้า

และ 5.การเมืองที่ยังต้องจับตา หากมีความรุนแรงอาจกระทบด้านจิตวิทยาคู่ค้าหันไปนำเข้าจากประเทศอื่น ขณะที่การเมืองหากมีความไม่มั่นคงจะกระทบต่อความเชื่อมั่น

ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่จะเข้ามา ทั้งนี้เรื่องการเมืองยังต้องจับตา ซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านยุทธศาสตร์การลงทุน ที่ต้องรอดูว่าต่างชาติเขาจะลงไปลงที่ไหน แต่เวลานี้ยังไม่กระทบส่งออก

 

ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เสถียรภาพทางการเมืองเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของไทย

นอกเหนือจากโควิด-19 ค่าเงินบาท และสงครามการค้า หากมีความไม่สงบและยืดเยื้อจะส่งผลกระทบซ้ำเติมเศรษฐกิจ การบริโภค และการลงทุน FDI ที่จะเข้ามา

ซึ่งสถานการณ์หลังวันที่ 19 กันยายน ยังคาดเดาได้ยากว่าจะออกหน้าไหน และจะพัฒนาไปอย่างไร ต้องจับตาและประเมินสถานการณ์อีกครั้ง แต่การชุมนุมคงไม่จบแน่นอน และจะยังหลอนไปถึงสิ้นปี

 

ที่มา  :  นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,611 วันที่ 20 - 23 กันยายน พ.ศ. 2563

Share