'เฟรเซอร์สฯ' บิ๊กอสังหาฯ ถอดโจทย์ธุรกิจปี 2566 ประเมิน ปัญหาเงินเฟ้อ - ราคาที่ดินหลังโควิด และ วิกฤติต้นทุน ยังเป็นตัวแปรสำคัญ พร้อมกระทุ้งภาครัฐ อัปเกรดสิทธิประโยชน์การลงทุน BOI สร้างจุดต่างประเทศ กระเพื่อมดีมานด์อสังหาฯ ทั้งระบบ
11 ม.ค.2566 - เศรษฐกิจในปี 2566 ที่ยังคงมีปัจจัยต้องติดตาม - เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับ ทั้งความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก จากภาวะเศรษฐกิจถดถอย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญ ๆ อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงนั้น กลายเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของอุตสาหกรรมแขนงต่างๆ 

     ในโอกาสนี้ 'ฐานเศรษฐกิจ' เจาะมุมองผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีบทบาทสำคัญต่อตลาด อย่าง บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” ซึ่งมีหน่วยธุรกิจครบวงจรรายเดียวในไทย ครอบคลุมการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า อาคารพาณิชย์ และบิสซิเนส พาร์ค รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ทางด้านโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยผู้บริหารระบุ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ มีแนวโน้มจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่สุดในรอบหลายปี แต่ปัญหา 'ต้นทุน' ยังเป็นโจทย์ใหญ่ของธุรกิจ ชู โมเดล ESG - สินค้า และ คนคุณภาพ ขับเคลื่อนรองรับ พร้อมแนะรัฐ ปลดล็อก มาตรการส่งเสริมต่างชาติ เพิ่มลงทุนใหม่ สร้างอานิสงส์ทั้งระบบ 
 

ปี 66 ศก.ฟื้น แต่ต้องระวัง

     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เฟรเซอร์ส ฯ กล่าวถึง คาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ และ การแข่งขันทางธุรกิจในปี 2566 ว่า มีทั้งปัจจัยลบ และ ปัจจัยบวก 
โดยแน่นอนว่า สถานการณ์โควิด – 19 ที่ผ่อนคลายมากขึ้น เป็นบวกให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น จากการที่ธุรกิจต่างๆ กลับมาขับเคลื่อนได้ บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคดีขึ้น 

แต่สิ่งที่ต้องจับตามองในปีนี้ เป็นเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับ ต้นทุนการก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น ราคาที่ดินหลังโควิด ต้นทุนค่าแรง ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

ชู 3 กลยุทธ์ ฝ่าเสี่ยงโลก

     อย่างไรก็ดี ในแนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนั้น บริษัทจะใช้กลยุทธ์การทำตลาดที่เข้มข้นมากขึ้น โดยในปี 2566 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ฯ จะชู 3 แนวทางหลัก เพื่อผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 1. มุ่งเน้นเรื่อง ESG เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน เน้นแนวทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ 2. เพิ่มการตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าให้มากขึ้น พัฒนาสินค้าและบริการแบบตอบสนองความต้องการเฉพาะรายมากขึ้น 3. เตรียมคนให้พร้อมต่อการแข่งขัน โดยมุ่งพัฒนาคนให้มีคุณภาพและรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กร

     ขณะในมุมมองต่อนโยบายภาครัฐ ที่อาจช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องนั้น นายธนพล กล่าวว่า  สำหรับธุรกิจอสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัย ภาครัฐควรมีแนวทางให้ผู้สนใจอยากมีบ้านได้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่ด้านอุตสาหกรรมภาคโลจิสติกส์ เสนอให้ภาครัฐอัปเกรดสิทธิประโยชน์การลงทุนของ BOI ให้มีความโดดเด่นมากขึ้น เพื่อสร้างประเทศไทยให้มีความแตกต่างจากประเทศอื่นที่เป็นตัวเลือกในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีกับธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม และสร้างความพร้อมในการเติบโตของประเทศไทยหลังจีนเปิดประเทศอย่างเต็มตัวในปีหน้า

แย้มแผนปี 66 เติบโตควบคู่ 3 ขาธุรกิจ 

     ย้อนไป ในงบ ปี 2565 (ต.ค.64-ก.ย.65) บมจ. เฟรเซอร์สฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 16,347 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,465 ล้านบาท เติบโตขึ้น 57.3% โดยในกลุ่มที่อยู่อาศัย มีการเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่า กว่า 20,000 ล้านบาท เน้นกลยุทธ์ การขยายตลาด จับลูกค้าในเซ็กเมนท์กลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่มีกำลังซื้อสูง ใน แบรนด์ เดอะ แกรนด์ และ แกรนดิโอ ขณะกลุ่มอสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรม ปัจจุบัน มีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ล้าน ตร.ม. ภายใต้ อัตราการเช่าเฉลี่ย  85% ส่วน อสังหาฯเพื่อพาณิชยกรรม มีรายได้เติมเต็ม จากการกลับมาเปิดให้บริการ ศูนย์การค้า สามย่านมิตรทาวน์ ,สีลมเอจ ,อาคารสำนักงานให้เช่า และโรงแรม

     โดย แผนธุรกิจ ปี 2566 นั้น นายธนพล ระบุว่า บริษัท จะให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างคู่ขนานของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังมุ่งมั่นเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนด้วย หลังปีที่ผ่านมาบริษัทมีต้นทุนรวมลดลง 3% 

     ทั้งนี้ ต้องจับตาดู การขยับในกลุ่มธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ) หลังจากประกาศเบื้องต้นว่า ปี 2566 จะมีการเสริมแกร่งบนน่านน้ำเดิม เติบโตบนสมรภูมิใหม่" ซึ่งมีกำหนดการแถลงข่าวในวันที่ 18 ม.ค.นี้ นับเป็นอีกคู่แข่งในตลาดแนวราบที่สำคัญของไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก  :  ฐานเศรษฐกิจ